Hospital โรงพยาบาล Health สุขภาพ Clinic คลินิก Surgery ศัลยกรรม ความงาม ตรวจสุขภาพHospital โรงพยาบาล Health สุขภาพ Clinic คลินิก Surgery ศัลยกรรม ความงาม ตรวจสุขภาพHospital โรงพยาบาล Health สุขภาพ Clinic คลินิก Surgery ศัลยกรรม ความงาม ตรวจสุขภาพHospital โรงพยาบาล Health สุขภาพ Clinic คลินิก Surgery ศัลยกรรม ความงาม ตรวจสุขภาพHospital โรงพยาบาล Health สุขภาพ Clinic คลินิก Surgery ศัลยกรรม ความงาม ตรวจสุขภาพ

Sunday, September 18, 2011

โรคลูปัส โรคพุ่มพวง โรงพยาบาลรามาธิบดี (Systemic Lupus Erythematosus : SLE)

โรคลูปัส โรคพุ่มพวง โรงพยาบาลรามาธิบดี (Systemic Lupus Erythematosus : SLE)
โรคลูปัส โรคพุ่มพวง โรงพยาบาลรามาธิบดี (Systemic Lupus Erythematosus : SLE) โรค SLE หรือ โรคลูปัส หมายถึงโรคที่มีการอักเสบของอวัยวะต่าง ๆ เนื่องมาจากภูมิคุ้มกันของตัวเองมากเกินปกติ ทำให้เกิดอาการและอาการแสดงเกือบทุกระบบของร่างกาย โรคจะกำเริบและทุเลาสลับกัน ในปัจจุบันโรคนี้ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการของโรคให้สงบ และดำเนินชีวิตได้ตามปกติหากรักษาได้ทันท่วงที

โรคลูปัส โรคพุ่มพวง (SLE) สาเหตุ
สาเหตุที่แท้จริงนั้นยังไม่ทราบแน่นอน เชื่อว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งเสริมให้เกิดโรคได้ดังนี้

1. พันธุกรรม พบว่าในแฝดจากไข่ใบเดียวกันมีโอกาสเกิดโรคนี้ถึงร้อยละ 30-50 และร้อยละ 7-12 ของ ผู้ป่วย SLE เป็นญาติพี่น้องกัน เช่น แม่และลูกสาว หรือในหมู่พี่น้องผู้หญิงด้วยกัน
2. ติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่สามารถค้นพบเชื้อแบคทีเรียและไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคนี้ได้
3. ฮอร์โมนเพศโดยเฉพาะเอสโตรเจน โรคที่พบมากในสตรีวัยเจริญพันธุ์ บ่งชี้ว่าน่าจะมีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนเพศ นอกจากนี้ความรุนแรงของโรคยังแปรเปลี่ยนตามการมีครรภ์ ประจำเดือน และการใช้ยาคุมกำเนิด
4. แสงแดดและสารเคมี ยาบางอย่างเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรม โรคแสดงอาการของโรคนี้ได้

โรคลูปัส โรคพุ่มพวง (SLE) อาการและอาการแสดง
อาการทั่วไป พบอาการไข้ ร้อยละ 40-85 มักจะเป็นไข้ต่ำ ๆ และหาสาเหตุไม่ได้ นอกจากนี้จะมี

- อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลด เป็นอาการที่พบได้บ่อยในขณะโรคกำเริบ

- อาการทางผิวหนังและเยื่อบุช่องปาก ในระยะเฉียบพลันที่พบได้บ่อยที่สุด คือ ผื่นรูปปีกผีเสื้อ ลักษณะเป็นผื่นบวมแดงนูนบริเวณโหนกแก้มและสันจมูก ผื่นจะเป็นมากขึ้นเมื่อถูกแสงแดด อาการทางผิวหนังอีกอย่างหนึ่งของโรคนี้คือ ปลายเท้าซีดเขียวเมื่อถูกน้ำหรืออากาศเย็น นอกจากนี้อาจพบผมร่วง และแผลในปากได้

- อาการทางข้อและกล้ามเนื้อ เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด ส่วนใหญ่เป็นอาการปวดข้อมากกว่าลักษณะข้ออักเสบ มักเป็นบริเวณข้อเล็ก ๆ ของนิ้วมือ ข้อมือ ข้อไหล่ ข้อเท้า หรือข้อเข่า เป็นเหมือนๆ กันทั้ง 2 ข้าง ร้อยละ 17-45 พบอาการปวดกล้ามเนื้อ

- อาการทางไต ผู้ป่วยบางรายมาพบแพทย์ด้วยอาการทางไตเป็นอาการนำ อาการแสดงที่สำคัญของไตอักเสบจากลูปัส ได้แก่ บวม ปัสสาวะเป็นฟองตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ ความดันโลหิตสูง

- อาการทางระบบเลือด อาการที่พบได้แก่ อ่อนเพลียหน้ามืดจากภาวะซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ ทำให้ ติดเชื้อได้ง่าย และเกร็ดเลือดต่ำ อาจพบจุดจ้ำเลือดออกตามตัวได้

- อาการทางระบบประสาท อาการที่พบได้ คือ อาการชักและอาการทางจิตนอกจากนี้อาจมีอาการปวดศรีษะรุนแรง หรือมีอ่อนแรงของแขนขา อาจพบได้ในระยะที่โรคกำเริบ

- อาการทางปอดและเยื่อหุ้มปอด อาการที่พบบ่อยคือ เยื่อหุ้มปอดอักเสบ อาการแสดงคือเจ็บหน้าอกโดยเฉพาะเวลาหายใจเข้าสุด ตรวจพบมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด บางรายมีอาการปอดอักเสบซึ่งต้องแยกจากปอดอักเสบติดเชื้อ

- อาการทางระบบหัวใจและหลอดเลือด ที่พบบ่อยคือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ซึ่งมักพบร่วมกับเยื่อหุ้มปอดอักเสบ ผู้ป่วยจะมาด้วยอาการ เจ็บหน้าอก มีน้ำในช่องเยื่อหุ้มหัวใจ เหนื่อยง่าย โรคหลอดเลือดหัวใจส่วนใหญ่เป็นผลมาจากภาวะหลอดเลือดแข็งจากการได้รับยาสเตียรอยด์นาน ๆ นอกจากนี้ภาวะความดันโลหิตสูง ก็เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยจากไตอักเสบเรื้อรัง และจากการ ได้รับยาสเตียรอยด์

- อาการทางระบบทางเดินอาหาร ไม่มีอาการที่จำเพาะสำหรับโรคลูปัส อาการที่พบบ่อย ได้แก่ คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้อง ซึ่งเป็นผลจากการใช้ยารักษาโรคลูปัส เช่น NSAIDS ยาสเตียรอยด์ อาการยังคงอยู่ได้แม้จะหยุดยาไปเป็นสัปดาห์

โรคลูปัส โรคพุ่มพวง (SLE) การตรวจเพื่อช่วยในการวินิจฉัย

- การตรวจนับเม็ดเลือด
- การตรวจเลือดหาปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันต่าง ๆ เช่น การตรวจ coomb test , ANA, anti-dsDNA
- การตรวจปัสสาวะและ การตรวจปริมาณโปรตีนในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง ช่วยบอกชนิด และความรุนแรงของภาวะอักเสบที่ไตได้
- การตัดชิ้นเนื้อไตเพื่อตรวจ ทำให้จำแนกการกำเริบและความเรื้อรังของโรคได้ดีขึ้น แต่ต้องอาศัยแพทย์ผู้ชำนาญ

โรคลูปัส โรคพุ่มพวง (SLE) การรักษาพยาบาล

เมื่อไหร่จึงจะให้การรักษา ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น หรืออาจเป็นโรคลูปัส ไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาเสมอไป โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการเพียงเล็กน้อย ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาแบบประคับประคองอาการ แต่ควร ติดตามการดำเนินของโรคเป็นระยะๆ ประมาณปีละ 1-2 ครั้ง เมื่อมีความผิดปกติของการทำงานของอวัยวะระบบใดระบบหนึ่ง จึงจะได้รับการรักษาที่จำเพาะ

โรคลูปัส โรคพุ่มพวง (SLE) การรักษา

ยังไม่มีวิธีรักษาใดที่ทำให้หายขาดได้ แต่การปฏิบัติตัวที่ดี การเลือกใช้ยาที่ถูกต้องทั้งชนิด ขนาด และช่วงเวลาที่เหมาะสม จะสามารถควบคุมอาการของโรคนี้ได้การรักษาด้วยยายากลุ่มNSAIDS และยาต้านมาลาเรีย (คลอโรควีนและไฮดรอกซีคลอโรควีน) ในผู้ป่วยที่มีอาการเล็กๆน้อยๆ ที่ไม่มีปัญหาต่อการดำเนินชีวิตประจำวันมากนัก เช่นผู้ป่วยที่มีอาการอย่างโรคตามทางผิวหนัง มีผื่นที่หน้า ปวดข้อและปวดกล้ามเนื้อ โดยที่ผลการตรวจทางปัสสาวะปกติ อย่างไรก็ตามในกรณียาเหล่านี้ควบคุมอาการไม่ได้ อาจให้ยาสเตียรอยด์ในขนาดต่ำๆ (prednisolone<10มก. /วัน) ร่วมด้วย เมื่อควบคุมโรคได้จึงค่อยลดยาลง

ยาสเตียรอยด์ เช่น prednisolone เป็นยาหลักที่ใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการอักเสบของอวัยวะสำคัญต่างๆจากโรคลูปัส แพทย์จะปรับขนาดของยาตามอาการและผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ถ้าไม่ได้ผลอาจต้องให้ยากดระบบภูมิคุ้มกันอื่น ๆ ร่วมด้วย

โรคลูปัส โรคพุ่มพวง (SLE) อาการข้างเคียงของยาที่ใช้

1. NSAIDS ทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหาร บางรายเกิดแผลในทางเดินอาหาร ทำให้ถ่ายเป็นเลือดได้ ยาสเตียรอยด์ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น จากการคั่งของเกลือและน้ำ และจากการรับประทานอาหารได้มากขึ้น

2. prednisolone ถ้าได้รับยาในขนาดสูง ๆ ต้องระวังปัญหาจากการติดเชื้อได้ง่ายกว่าปกติ นอกจากนี้อาจมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง กล้ามเนื้ออ่อนแรง และถ้าได้รับยาเป็นเวลานาน ๆ อาจเกิดภาวะกระดูกพรุนและกระดูกหักง่าย ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ความรู้สึกทางเพศลดลง มีสิวขึ้น ปวดข้อที่เกิดจากหัวกระดูกขาดเลือด และเกิดลักษณะของกลุ่มอาการคุชชิ่ง ได้แก่ หน้ากลม ไหล่และคออูม ลำตัวอ้วน

3. ยาต้านมาลาเรีย ( คลอโรควีนและไฮดรอกซีคลอโรควีน) อาจมีอาการตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน กลัวแสงหรือตาบอดสีหรือทำให้เลือดออกในจอตา ผู้ป่วยที่ใช้ยาเหล่านี้ต้องตรวจตาอย่างละเอียดโดยจักษุแพทย์ทุก 6 เดือน นอกจากนี้อาจพบอาการเบื่ออาหาร ท้องเสียหรืออาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้

4. ยากดภูมิคุ้มกัน (เช่น Cyclophosphomide, azathioprine) อาจกดไขกระดูก ทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำ เกร็ดเลือดต่ำและซีดได้ นอกจากนี้ทำให้มีคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กดการทำงานของรังไข่ทำให้มีประจำเดือนผิดปกติ และมีบุตรยากได้ การใช้ยาเหล่านี้เป็นระยะเวลานาน (ติดต่อกันเกิน 2 ปี) จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้มากกว่าคนทั่วไป

โรคลูปัส โรคพุ่มพวง (SLE) การปฏิบัติตัวในการควบคุมโรค

1. หลีกเลี่ยงการติดเชื้อ ดูแลรักษาความสะอาดของร่างกายโดยเฉพาะบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ ช่องปาก
2. หลีกเลี่ยงแสงแดดและแสงไฟนีออนเนื่องจากทำให้โรคกำเริบได้ ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกเช้าโดยซื้อครีมกันแดดที่ป้องกันทั้ง UVA และ UVB ที่มี SPF 15 ขึ้นไป และพยายามหลีกเลี่ยงการออกแดดโดยตรงในกรณีที่จำเป็นต้องใส่เสื้อแขนยาว และสวมหมวกรวมทั้งใช้ครีมกันแดดที่แรงขึ้น
3. รับประทานอาหารปรุงสุกผ่านความร้อนใหม่ ๆ งดอาหารหมักดอง หลีกเลี่ยงการรับประทาน ขนมจีน ผักสด และส้มตำตามร้านค้าทั่วไปในผู้ป่วยที่มีอาการทางไตร่วมด้วย ควรรับประทานอาหารจำกัดเกลือ
4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และบริหารข้อเพื่อป้องกันการเกิดข้อพิการ (ยกเว้นขณะมีข้ออักเสบ )
5. หลีกเลี่ยงภาวะเครียดเนื่องจากอาจทำให้โรคกำเริบได้
6. เมื่อเจ็บป่วยไม่ซื้อยามากินเอง ควรไปพบแพทย์ที่รักษา
7. ไม่ควรเปลี่ยนแพทย์หรือสถานรักษาด้วยตนเอง เพราะจะทำให้แผนการรักษาขาดความต่อเนื่อง
8. ไม่ควรปล่อยให้ตั้งครรภ์ในระยะที่โรคกำเริบหรือใช้ยาขนาดสูง
9. ควรมาพบแพทย์เมื่อมีอาการแสดงว่าโรคกำเริบ เช่น ไข้ ข้ออักเสบมากขึ้น มีจ้ำเลือดตามตัว บวมขึ้น เหนื่อยขึ้น เจ็บแน่นหน้าอก

อ้างอิง
- สมจิต หนุเจริญกุล. (2536). การพยาบาลทางอายุรศาสตร์ เล่ม 3. พิมพ์ครั้งที่ 3.บริษัทวีเอสพริ้นติ้งจำกัด : กรุงเทพ ฯ.
- สุชีลา จันทร์วิทยานุชิต. (2538). ตำราโรคข้อ. พิมพ์ครั้งที่ 1.โรงพิมพ์เรือนแก้วการพิมพ์ :กรุงเทพฯ.

ตรวจทานโดยอาจารย์บุญจริง ศิริไพฑูรย์ วันที่ 19 สิงหาคม 2546
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=3e72af93ed8765d5&pli=1
http://www.thiswomen.com/Health/id4048.aspx
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...